Welcome to Our Website

สงครามกับตลาดหุ้น ในมุมประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย

สงครามกับตลาดหุ้น ในมุมประธานสภาตลาดทุนไทย เชื่อมั่นตลาดหุ้นไทยมีโอกาสฟื้นตัวแรงหลังฝุ่นหายตลบ

วันที่ 16 มีนาคม 2565 นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย(FETCO) โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวเมื่อวันที่ 15 มี.ค.ว่า ทุกครั้งที่เกิดสงคราม หรือ วิกฤตภูมิรัฐศาสตร์ ตลาดหุ้นทั่วโลกมักปรับลดลงอย่างรวดเร็ว จากความไม่แน่นอน ความกังวลของนักลงทุน และความเสี่ยงที่สูงขึ้น แรงขายจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรง ประเทศที่เกี่ยวข้อง และผลกระทบต่อระบบศรษฐกิจ

ในทางกลับกัน ตลาดหุ้นมักฟื้นตัวอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน ตราบใดที่เศรษฐกิจไม่ถูกกระทบถึงขั้นชะลอตัวรุนแรงหรือถดถอย เช่น กรณี 9/11 ที่เกือบทุกตลาดหุ้นสามารถฟื้นกลับมาที่ระดับเดิมได้ภายในไม่ถึง 1 เดือน หรือ กรณีสงครามอิรักปี 2003 ที่ตลาดหุ้นส่วนใหญ่ใช้เวลาฟื้นตัวภายในไม่กี่สัปดาห์

งานวิจัยของธนาคารต่างประเทศแห่งหนึ่งระบุว่า ในช่วง 83 ปีที่ผ่านมา ได้เกิดสงครามและวิกฤตภูมิรัฐศาสตร์ทั้งหมด 29 เหตุการณ์ และจากค่าเฉลี่ยของทุกเหตุการณ์ พบว่าตลาดหุ้น (งานวิจัยใช้ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐเป็นตัวแทนตลาดหุ้นโลก) ปรับลดลงเพียง 8% นับจากวันแรกที่เกิดวิกฤตจนถึงวันที่ดัชนีแตะจุดต่ำสุด และใช้เวลาอีกไม่ถึง 3 เดือนในการฟื้นตัวกลับไปที่ระดับก่อนเกิดวิกฤต

เหตุการณ์ที่ตลาดหุ้นได้รับผลกระทบหนักที่สุด คือสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ดัชนีหุ้นปรับลงต่อเนื่องเกือบ 50% ในช่วง 3 ปีแรก แต่ที่น่าสนใจคือตลาดหุ้นแตะจุดต่ำสุดในปี 1942 หรือก่อนสงครามจบลงถึง 3 ปี และฟื้นตัวต่อเนื่องไปอีกหลายปีหลังจากนั้น

รองลงมาคือวิกฤตน้ำมันปี 1973 ที่ตลาดหุ้นปรับลดลง 17% ในช่วงเดือนแรก และลดลงต่อเนื่องอีก 28% ในช่วง 12 เดือนต่อมา เพราะเศรษฐกิจทั่วโลกได้รับผลกระทบหนักมากจากการขาดแคลนน้ำมัน

ถ้าตัดสองเหตุการณ์นี้ออก จะพบว่าสงครามและวิกฤตภูมิรัฐศาสตร์ที่เกิดขึ้นในอดีต ส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นค่อนข้างน้อยในระยะยาว

สงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนในครั้งนี้ ถ้าวัดจากขนาดเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ ซึ่งรวมกันเท่ากับ 2% ของจีดีพีโลก ไม่น่าส่งผลกระทบอย่างมีนัย แต่การที่รัสเซียเป็นผู้ส่งออกน้ำมันและก๊าซธรรมชาติอันดับต้นๆ ของโลก ทำให้ความเสี่ยงที่จะเกิดวิกฤตพลังงานมีค่อนข้างมาก

นอกจากนั้น สงครามรอบนี้เกิดขึ้นในห้วงเวลาที่เงินเฟ้อทั่วโลกพุ่งสูงสุดในรอบ 30-40 ปี ทำให้นักลงทุนกังวลว่าเศรษฐกิจโลกอาจเข้าสู่ภาวะ Stagflation (เงินเฟ้อสูง เศรษฐกิจถดถอย) เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในช่วงวิกฤตน้ำมันปี 1973 และ 1979

ในความเห็นของผม วิกฤตพลังงานรอบนี้ ถ้าเกิดขึ้น น่าจะมีผลกระทบน้อยกว่าเมื่อก่อนมาก เพราะเศรษฐกิจโลกไม่ได้พึ่งพาน้ำมันสูงเหมือนเดิม ย้อนกลับไปปี 1973 โลกต้องใช้น้ำมัน 1 บาร์เรล เพื่อผลิตจีดีพี USD 1,000 (real terms) แต่ในปี 2019 เราใช้น้ำมันแค่ 0.43 บาร์เรลในการผลิตจีดีพีที่มูลค่าเท่ากัน

นอกจากนั้น ประเทศในกลุ่มโอเปกยังมีกำลังการผลิตน้ำมันเหลืออีกไม่ต่ำกว่า 3 ล้านบาร์เรลต่อวัน และสามารถเพิ่มได้ถึง 5-6 ล้านบาร์เรลต่อวันภายใน 1 ปีข้างหน้า ซึ่งน่าจะทดแทนน้ำมันที่ส่งออกโดยรัสเซียได้เกือบทั้งหมด อีกทั้งสหรัฐเองก็มีกำลังการผลิตสำรองของน้ำมัน Shale อีกพอสมควร แปลว่าโอกาสที่น้ำมันจะขาดแคลนในระยะยาวน่าจะมีไม่มาก

ยุโรปมีความเสี่ยงมากที่สุด เพราะนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากรัสเซียถึง 40% แต่ส่วนหนึ่งน่าจะสามารถทดแทนได้ด้วยการนำเข้า LNG รวมทั้งอาจต้องกลับไปใช้พลังงานนิวเคลียร์ หรือ ถ่านหิน เป็นการชั่วคราว จนกว่าจะสามารถหาแหล่งพลังงานใหม่ที่ทดแทนได้

ราคาพลังงานจึงมีแนวโน้มอ่อนตัวลงในระยะยาว ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางราคาที่สะท้อนในตลาดสัญญาซื้อขายน้ำมันล่วงหน้า และถ้าเป็นเช่นนี้ โอกาสที่เงินเฟ้อจะพุ่งสูงขึ้นต่อเนื่องน่าจะมีไม่มากในระยะยาว

มองไปข้างหน้า ไม่มีใครสามารถประเมินได้ว่าสงครามครั้งนี้จะจบลงเมื่อไหร่ ในสถานการณ์แบบนี้ ตลาดหุ้นทั่วโลกมีแนวโน้มเผชิญแรงขายต่อเนื่องไปอีกระยะหนึ่ง ที่ยังพออุ่นใจได้ คือรัสเซียยังไม่ได้หยุดส่งออกพลังงาน และธนาคารกลางสหรัฐ เองก็ยังไม่ได้ส่งสัญญาณว่าจะดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้นกว่าที่เคยวางแผนไว้ก่อนเกิดสงคราม

ผมเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยมีโอกาสฟื้นตัวแรงหลังฝุ่นหายตลบ เพราะเศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบทางตรงจากวิกฤตครั้งนี้ค่อนข้างน้อย ราคาพลังงานที่พุ่งขึ้นในช่วงนี้คือความเสี่ยงหลัก แต่รัฐบาลมีกลไกกองทุนน้ำมันที่น่าจะช่วยพยุงราคาพลังงานในประเทศได้อีกระยะหนึ่ง

แน่นอน การลงทุนในภาวะสงคราม เงินเฟ้อสูง และดอกเบี้ยขาขึ้น ไม่ใช่เรื่องง่าย ตลาดหุ้นทั่วโลกยังมีแนวโน้มผันผวนสูง แต่เราน่าจะได้อานิสงส์การจัดสรร asset allocation ใหม่ของกองทุนทั่วโลก ที่มีแนวโน้มถอนการลงทุนในรัสเซีย ลดการลงทุนในยุโรป และเพิ่มการลงทุนในเอเชีย โดยเฉพาะไทยและประเทศในกลุ่มอาเซียน

อ้างอิง
https://www.prachachat.net/finance